ความเครียด กับ โรคซึมเศร้า ต่างกันอย่างไร ?

เรียนรู้และเข้าใจ ความเครียดกับโรคซึมเศร้า ต่างกันอย่างไร?

ในชีวิตประจำวันที่เต็มไปด้วยความเครียด ความกดดันมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการทำงานหนักเกินไป ถูกกดดันจากการเรียน มีปัญหาการเงิน มีปัญหาเรื่องครอบครัว รวมถึง มีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ที่ราบเรียบไม่เหมือนเดิม จนบางครั้งเราถึงกับตั้งคำถามกับตัวเองว่า สิ่งที่เรากำลังรู้สึกอยู่นี้ คือความเครียดทั่วไป หรือ เป็นสัญญาณเตือนของโรคซึมเศร้ากันแน่ ?

หากคุณกำลังเผชิญกับความสับสน และความทุกข์ใจจากความเครียดที่ทวีคูณขึ้นเรื่อย ๆ อยู่ บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่าง ความเครียด และ โรคซึมเศร้า เพื่อให้คุณเตรียมรับมือ และสามารถจัดการกับตัวเองได้อย่างตรงจุด

 

ความเครียด คืออะไร

ความเครียด คือ ปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกาย เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่มีความกดดัน หรือสถานการณ์ที่ท้าทาย เช่น การทำงานหนัก, การสอบ หรือ การเปลี่ยนแปลงในชีวิต โดยความเครียดนี้ เป็นปฏิกิริยาตอบสนองที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ในทุกเพศทุกวัย ซึ่งหากเกิดในระดับที่พอดี ก็จะช่วยให้เรามีแรงกระตุ้น กระตือรือร้น และพร้อมรับมือกับปัญหาเหล่านั้นได้ แต่ในทางกลับกัน หากเรามีความเครียดที่มากจนเกินไป อาจส่งผลให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ ทั้งกายและใจ ซึ่งอาจนำไปสู่โรคทางจิตเวชได้

 

วิธีสังเกตอาการ เมื่อเรากำลังมีความเครียด

อาการทางร่างกาย ได้แก่ ปวดหัว นอนไม่หลับ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย หายใจถี่ ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว ท้องอืด อาหารไม่ย่อย คลื่นไส้ อาเจียน และประจำเดือนมาผิดปกติ

  • อาการทางอารมณ์ ได้แก่ หงุดหงิดง่าย โมโหง่าย หดหู่ เศร้าหมอง วิตกกังวล รวมถึง กัดเล็บและดึงผมตัวเอง
  • อาการทางพฤติกรรม ได้แก่ กินอาหารมากหรือน้อยเกินไป ถอยตัวห่างออกจากสังคม ไม่อยากพบเจอผู้คน และไม่มีความสุขในการใช้ชีวิต

 

โรคซึมเศร้า คืออะไร

โรคซึมเศร้า คือ โรคทางจิตเวชชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นอาการผิดปกติทางอารมณ์ ที่ส่งผลกระทบต่อความรู้สึก ความคิด และพฤติกรรมของผู้ป่วย ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกเศร้า เบื่อหน่าย และสูญเสียความสนใจในสิ่งที่เคยชอบ ทำให้การดำเนินชีวิตประจำวันเป็นไปด้วยความยากลำบาก ซึ่งความรู้สึกเหล่านี้ ไม่ได้เกิดจากความอ่อนแอหรือการขาดความพยายาม แต่เป็นผลมาจากความผิดปกติของสารเคมีในสมอง โดยจะส่งผลต่อการทำงานของระบบประสาท หากการปล่อยปะละเลย โรคซึมเศร้าอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพอื่น ๆ และกระทบต่อคุณภาพชีวิตได้
การป่วยโรคซึมเศร้า สามารถกลับมามีชีวิตที่ปกติได้ด้วยการรักษาที่เหมาะสม โดยแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งอาจรวมถึงการใช้ยา การบำบัดทางจิตวิทยา หรือการผสมผสานทั้งสองวิธี โดยการรักษานี้ จะช่วยปรับสมดุลสารเคมีในสมอง พร้อมหาแนวทางในการจัดการกับความรู้สึก และความคิดเชิงลบได้อย่างเหมาะสม

 

วิธีสังเกตอาการเมื่อเรากำลังเป็นโรคซึมเศร้า

  • อาการทางร่างกาย ได้แก่ นอนไม่หลับ นอนหลับมากเกินไป รู้สึกไม่มีแรง ไม่มีพลัง ปวดหัว ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และประจำเดือนมาผิดปกติ
  • อาการทางอารมณ์ ได้แก่ รู้สึกเศร้า หม่นหมอง เหงา ว่างเปล่า อารมณ์แปรปรวน โมโหง่าย รู้สึกไม่มีค่า เบื่อ และไม่มีความสุขกับกิจกรรมที่เคยชอบทำ
  • อาการทางความคิด ได้แก่ ขาดสมาธิ ไม่สามารถจดจ่อกับสิ่งใดได้นาน ขาดการตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ มองโลกในแง่ร้าย มักโทษตัวเองตลอดเวลา มีความคิดวนวียนกับความผิดพลาดของตัวเอง มีความคิดอยากทำร้ายตัวเอง หรือฆ่าตัวตาย
  • อาการทางพฤติกรรม ได้แก่ เบื่ออาหาร กินอาหารมากหรือน้อยจนเกินไป ถอยตัวห่างออกจากสังคม ไม่อยากพบปะผู้คน ขาดความสนใจในการดูแลตัวเอง และประสิทธิภาพในการทำงานลดลง ทำงานได้ไม่เต็มที่

สรุปความแตกต่างระหว่างความเครียดกับโรคซึมเศร้า

ความเครียด เป็นเหมือนปฏิกิริยาตอบสนองระยะสั้นของร่างกาย ซึ่งมาจากปัจจัยภายนอก โดยสามารถจัดการความเครียดเหล่านี้ได้ด้วยตนเอง ส่วนโรคซึมเศร้าเป็นโรคทางจิตเวชที่รุนแรงกว่า ซึ่งมาจากความผิดปกติของสารเคมีในสมองและปัจจัยภายนอก ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันในระยะยาว ต้องทำการรักษาโดยแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ นอกจากนี้ หากปล่อยให้ความเครียดเรื้อรัง อาจส่งผลให้เกิดภาวะซึมเศร้าตามมาได้ เนื่องจากความเครียดเรื้อรัง จะทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนความเครียดออกมาอย่างต่อเนื่อง จนส่งผลกระทบต่อสมดุลของสารเคมีในสมอง ดังนั้น การเรียนรู้วิธีจัดการกับความเครียดจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันไม่ให้ความเครียดลุกลามกลายเป็นโรคซึมเศร้าอีก